วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

การใช้งาน อิเตอร์เน็ต อย่างปลอดภัย



                  การใช้งาน อิเตอร์เน็ต อย่างปลอดภัย


การโจรกรรมข้อมูลทาง internet มีมานานหลายปีแล้ว และมีแต่แนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะมีคนมากมายอยู่ใน internet และจับจ่ายใช้สอยบน internet ปัจจุบันประเทศเรา
ยอดการซื้อสินค้า Online เพิ่มเป็นเท่าตัว ผู้ใช้งาน smartphone ก็เพิ่มขึ้นมากมายเช่นกัน
วันนี้เราเลยข้อเสนอ 9 วิธีง่ายๆ สำหรับการป้องกันภัยจาก Hacker ทั้งหลาย
โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ และไม่ต้องมีความรู้ทาง Computer สูงส่งอะไรเลยครับ
ดัดแปลงจาก ข้อมูลของ Voice TV สกู๊ปด้าน iT ครับ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วย
(ไม่ได้เอาข่าวเค้ามาหรอกนะ แต่เขาจัดกลุ่มไว้แล้ว)
1 อย่าคลิ๊กสิ่งที่ส่งมาพร้อมกับ E-mail แปลกๆ
เพราะส่วนมา จะเป็นมัลแวร์
รวมทั้งบรรดา Pop-up ของเวปไซด์ด้วย โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่คร่ำหวอดในโลกออนไลน์
ต้องเคยโดนกันมาไม่มากก็น้อย
การโจมตี ทาง E-mail เป็นที่นิยมมานานและได้ผลเสมอ ทั้ง โทรจัน เวิร์ม และอื่นๆ
ก็ล้วนเติบโตจากเรื่องนี้ทั้งงั้นครับ หลักการก็ง่ายๆ ส่งภาพ หรือ ข้อความมา
เราจะโชคดีหน่อยเพราะมักส่งภาษาอังกฤษมา พอกดรับ กดโหลด ปุ๊ป
ก็ บรู๊ม กลายเป็นโกโก้ครั๊น ทันที
ตำนานม้าไม้โทรจัน หรือ โทรจันแห่งทรอย เป็นตำนานเก่าแก่ครับ ประมาณว่าเมืองทรอย
แข็งแกร่งมาก โจมตีเท่าไหร่ไม่สำเร็จ ศัตรูเลยเอาไม้เรือทั้งหมดไปทำเป็นม้าไม้ นัยว่าจะเป็นการ
ยอมแพ้สงครามและส่งให้เป็นการปลอบขวัญ เมื่อชักลากม้าเข้าไป ชาวเมืองต่างดีใจที่ตนชนะ
ก็ดื่มเหล้าเมามาย ที่ไหนได้ตกดึก ข้างในตัวม้ามีข้าศึกอยู่ กลศึกนี้ได้ผลเนื่องจากความทรนงตัว
ของชาวทรอย สุดท้ายเมืองทรอยก็แตกครับ ม้าไม้โทรจันเลยเป็นตัวแทนของอีเมลประเภทแฝงไวรัสไปโดยปริยาย
2. อย่าใช้ password เดียวกันมันทุกอย่าง
และเลขที่เดาได้ง่ายๆ เช่น วันเกิดคุณ ชือน้องหมาสุดที่รัก
เพราะของพวกนี้มันโชว์หราใน Facebook หมดแล้วนะ
นึกไม่ออกลองใช้ พิมพ์ำคำไทยในแป้นฝรั่งดูอาจจะช่วยได้ เช่น มิ้วๆ ก็ เป็น “,bh;qQ” เป็นต้น
3.อย่าใช้ password E-mail ซ้ำกับเมมเบอร์ เวปไซด์ที่ เราสมัครไว้
เพราะถ้าเวปนั้นถูกแฮค เราจะโดนหางเลขไปด้วย
4. เป็นไปได้อย่าซื้อสินค้าออนไลน์เลย
หรือถ้าซื้อ เน้นเฉพาะที่ไว้ใจได้ ไม่งั้นระวังจะโดนปล้นแบบออนไลน์
ในสหรัฐ มีนักโจรกรรมรหัสบัตรเครดิตพุ่งสูงขึ้นมาก หลายคนใช้วิธีการ ฟิชชิ่ง
หรือสร้างหน้าเวปปลอมให้คุณตกเป็นเหยื่อ เมื่อกรอกรหัสไป สุดท้ายก็จะสูบเงินของคุณจนหมดบัญชีง่ายๆ
เป็นไปได้หากจำเป็นจริงๆ ควรเปิดบัตรเดบิตวงเงินน้อยๆ ไว้สำหรับซื้อสินค้าครับ
อย่างผมก็ทำ จำกัดเพดานไว้ต่ำสุดของธนาคารเลย(บัตรเดบิตใช้แทนบัตรเครดิตได้นะ)
5. ข้อมูลในการแชร์ ไม่ควรส่วนตัวจนเกินไป
หลายคนมักแชร์ทุกเรื่อง ทุกอย่างใน Social network
ซึ่งเป็นช่องทางนำข้อมูลนั้นมาโจมตีคุณได้ เช่นวันเกิด
หรือ ชื่อต่างๆ ข้อมูลส่วนตัวที่คุณอาจจะเผลอตั้งเป็นรหัส Apple ID
หรือแม้แต่สถานที่ๆ คุณไปบ่อยๆ
6.  ระวังบรรดา wifi สาธารณะแบบไม่มี Pass ไว้บ้าง
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีง่ายๆ คุณอาจจะถูกดักข้อมูลจาก wifi ที่ไม่ได้เข้ารหัสเหล่านี้ก็ได้นะ
(โลกช่างโหดร้าย) ทางที่ดี ทนใ้ช้ 3G กากๆ ของพวกเราไปดีกว่าครับ
ไม่ก็ไปซื้อสินค้าตามร้านกาแฟแล้วขอรหัส wifi เค้าเลย
ดักคลื่นมือถือมันมีมาตั้งกะสมัยมาบุญครองเกิดใหม่ๆ จนป่านนี้แล้ว
ฏีกาเรื่องนี้ก็ไม่ใช่น้อยครับ ปีล่าสุดยังออกอยู่เลยว่าการโจรกรรมถือเป็นลักทรัพย์ไหม
และเราเสียหายไหม เพราะงั้นถึงจับได้ก็ใช่จะเอาผิดมันได้แน่นอนครับ
7. Mac และ iOS ก็มีไวรัสนะ
อย่าไปเชื่อบริษัท Apple เค้า แต่ที่มักพบน้อยกว่า เพราะ windows มีผู้ใช้มากกว่า
และเต็มไปด้วยสินค้าเถื่อน ให้แทรกฝังข้อมูลไปได้โดยง่าย เรียกได้ว่า รถยุโรปมันอาจจะแข็งแรง
แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะไม่พัง เฉกเช่นเดียวกับรถญี่ปุ่น หรือรถจากอเมริกา
8. ระวังบรรดาเพื่อนแปลกๆ ใน Social network 
ไม่ใช่เห็นนมอึ๋มๆ หนุ่มๆ หล่อๆ ถอดเสื้อแล้วก็รับเป็นเพื่อนทันที
อย่างน้อยเจอแค่ แท็กโฆษณา แต่เกิดหนักๆ ขึ้นมาระวังโดน แฮกนะพี่น้อง
9. เปิดการใช้งานตัวกรอง หรือ แอนตี้ไวรัสไว้บ้าง
แม้ทำให้เครื่องช้า แต่ก็ต้องเข้าใจนะ ว่ามันจำเป็นต่อโลก
หลายท่านคงจะบอกว่าแพง ลองมองหา แอนตี้ไวรัสฟรีจริง(ที่แจกจริงไม่ใช่แคร็ก) จาก internet ได้ครับ
ส่วนลายแทงไว้โอกาสหน้าจะหามาให้ครับ



อ้างอิง จาก http://technolomo.com/2013/05/18/how-to-protect-hacker/


ทันภัยการใช้ อินเตอร์เน็ต


                                                           ทันภัย การ ใช้ อินเตอร์เน็ต

วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัยคุกคามจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของประชาชนมากขึ้น การติดต่อสื่อสาร การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หรือการดำเนินต่างๆ จำเป็นต้องใช้สื่อสารสนเทศเหล่านี้ ซึ่งผู้ใช้งานทั่วไปมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์ บัญชีผู้ใช้ถูกแฮก การถูกบุกรุกคอมพิวเตอร์จากระยะไกล เป็นต้น โดยผู้ใช้งานอาจรับทราบถึงภัยคุกคามเหล่านี้ แต่อาจยังไม่ทราบถึงวิธีปฏิบัติหรือป้องกันและแก้ไขเมื่อเกิดภัยจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น เมื่อคอมพิวเตอร์ติดไวรัสควรทำอย่างไร หากเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกแฮกควรทำอย่างไร เป็นต้น ดังนั้น บทความนี้จึงรวบรวมเอาคำแนะนำต่างๆสำหรับการรับมือกับภัยคุกคามเทคโนโลยีสารสนเทศ
อย่างไรก็ตามข้อยืนยันว่า การใช้งานอินเทอร์เน็ต ยังตั้งอยู่ในฝั่งของสิ่งที่ดี เช่น ทางด้านการศึกษา ทางด้านการสื่อสาร ทางด้านการเผยแพร่ความรู้ ผลงาน และผลผลิต แต่เนื่องจากสังคมอินเทอร์เน็ต เป็นสังคมที่ไม่สามารถมองเห็นซึ่งกันและกัน จึงมีทั้งคนดี และคนร้าย ดังนั้นการระวังป้องกันภัย ล่วงรู้ถึงภัยที่เคยมามาในอดีตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก

ภัยทางอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
1. ภัยที่เกิดกับบุคคล
2. ภัยที่เกิดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ


การป้องกันภัยทางอินเทอร์เน็ต

การป้องกันภัยที่เกิดกับบุคคล

1. ไม่ควรสนทนา (Chart) กับบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก หรือไว้ใจได้
2. ไม่ควรใส่ชื่อที่อยู่จริงกับเว็บที่ไม่น่าไว้ใจ
3. ระลึกอยู่เสมอว่า บุคคลที่เรารู้จักทางเว็บอาจจะเป็นบุคคลที่ไม่พึงประสงค์
4. ระวังตัวทุกครั้งที่มีการลงทะเบียนกับเว็บต่างๆ เพราะท่านอาจกำลังตกอยู่ในสายตาของผู้ไม่ประสงค์ดี ที่กำลังจับตามองท่านอยู่  
5. จงคิดไว้เสมอว่า ไม่มีใครยอมเสียผลประโยชน์ ถ้าไม่ได้อะไรตอบแทน
6. ทุกครั้งที่คนมาชวนสร้างรายได้ โดยทำ ธุระกรรมผ่านทางเว็บจงคิดเสมอว่า รายได้ที่สูงเกินความจริงอาจตกอยู่กลลวงของผู้ประสงค์ร้าย
7. การไปพบปะกับบุคคลที่ติดต่อผ่านทางเว็บไม่ควรไปอยู่ในที่ลับตา ควรอยู่ในที่รโหฐาน
8. ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้ลูกเข้าเว็บที่ต้องห้าม หรือเว็บที่มีการนำเสนอภาพรุนแรง
9. การตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับลูกควรอยู่ในสายตาของผู้ปกครอง เช่นห้องรับแขก ห้องพักผ่อน
10. เมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ไกล้ตัวท่านมีลักษณะการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไปควรรีบเสาะหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อป้องกับเหตุร้ายที่จะตามมา

การป้องกันภัยที่เกิดกับเครื่องคอมพิวเตอร์

1. ทุกครั้งที่นำซอฟแวร์ที่ไม่ทราบแหล่งที่ผลิต หรือได้รับแจกฟรี ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนำไปใช้ ว่ามีไวรัสหรือไม่ โดยใช้โปรแกรมประเภท สแกนไว้รัส
2. ควรตรวจสอบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
3. เตรียมแผ่นที่สะอาดไว้สำหรับบูตเครื่องเมื่อคราวจำเป็น
4. ควรสำรองข้อมูลไว้เพื่อเกิดความเสียหายจะได้มีไฟล์สำรองทุกครั้ง  
5. พยายามสังเกตุสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานที่ช้าลง ขนาดไฟล์ หน้าจอแสดงผลแปลก ๆ ไดรฟ์มีเสียงผิดปกติ
6. ไม่นำแผ่นดิสก์ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ถ้ายังไม่ได้ปิดแถบป้องกันการบันทึก (Write Protect) หรือถ้าจำเป็นต้องเปิด ควรมีการ สแกนไว้รัสก่อนใช้งานทุกครั้ง
7. ควรแยกแผ่นโปรแกรม และแผ่นข้อมูลออกจากกันโดยเด็ดขาด
8. ไม่อนุญาตให้คนอื่นมาเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด
9. ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ใช้ตรวจสอบและป้องกัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันไวรัสรุ่นใหม่ ๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีขึ้นมาก
10. เมื่อมีการติดตั้ง โปรแกรม ป้องกันไวรัสแล้วมิได้จบเพียงแคนั้น ควรจะมีการ Update ไวรัสบ่อยๆ เพราะทุกๆ วันจะมีการสร้างไวรัสใหม่เสมอ
11. หมั่นติดตามข่าวด้าน Information Security และข่าวไวรัสใหม่ๆ ตลอดจนหมั่น Update Patch ให้กับระบบที่เราใช้งานอยู่เป็นประจำ  
12. หลีกเลี่ยงการเปิดอ่านอี-เมล์และไฟล์ที่แนบมากับอี-เมล์ ถ้าไม่รู้แหล่งที่มาของ อี-เมล์









อ้างอิง จาก http://www.ictkm.info/content/category/4.html
และ จาก http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nakhonsithamrat/nittaya_c/meaow2/page03_2.htm

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่อง : บริการต่าง ๆ ของอินเตอร์เน็ต


World Wide Web (WWW) (เวิลด์ไวด์เว็บ )
                     เวิลด์ไวด์เว็บ บริการข้อมูลข่าวสารแบบสื่อผสม ที่เป็นจุดดึงดูดให้ผู้คนส่วนใหญ่ เข้ามา ใช้บริการอินเทอร์เน็ตกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นเครื่องมือช่วยให้เรา สามารถ ค้นรายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบเกือบทุกเรื่อง สามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ใช้งานง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทำให้ประหยัดเวลา สามารถเห็นได้ทั้งภาพ และเสียง ทั้งภาพแบบสองและสามมิติ รวมทั้งภาพเคลื่อนไหวอีกด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถ เผยแพร่เอกสารที่เราจัดทำ ไปให้ผู้คนทั่วโลกใช้ผ่านทาง เวิลด์ไวด์เว็บ โดยมีค่าใช้จ่าย ถูกกว่า การตีพิมพ์บนกระดาษ หรือบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เวิลด์ไวด์เว็บ จึงเป็นต้นเหตุสำคัญ ทำให้ สถิติการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้คนทั่วโลก เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรวดเร็ว
1. เวิลด์ไวด์เว็บ คืออะไร 
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web หรือ WWW หรือ W3 หรือ Web) คือ บริการค้น
หรือเรียกดู ข้อมูลแบบหนึ่ง ในอินเทอร์เน็ต ข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ จะอยู่ในแบบสื่อผสม หรือ
มัลติมีเดีย (multimedia) ที่มีทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอ 
ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นหน้า ๆ แต่ละหน้าสามารถ เชื่อมโยงถึงกันได้
เป็นแบบเครือข่ายคล้ายใยแมงมุม จากแหล่งต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก

2. จุดเริ่มต้นของเวิลด์ไวด์เว็บ 
ปี ค.ศ. 1990 ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) แห่งสถาบัน CERN (Center
European pour la Recherche Nucleaire) แห่งกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
(เวบไซต์ของ CERN ติดต่อที่ http://www.cern.ch)
ได้คิดค้นวิธีการถ่ายทอดเอกสารข้อมูลที่อยู่ในแบบไฮเปอร์เท็กซ์ ( hypertext)
ซึ่งเป็นเอกสารที่นำเสนอทางเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ข้อมูลในแต่ละหน้า
สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ มานำเสนอผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 
เอกสารแบบไฮเปอร์เท็กซ์นี้ เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ เรียกว่า
ภาษา HTML (Hypertext Markup Language) 
เอกสารข้อมูลที่เขียนขึ้นด้วยภาษา HTML นี้ ต้องใช้โปรโตคอลแบบพิเศษ ชื่อ HTTP
(Hypertext Transport Protocol) ช่วยในการสื่อสาร และรับส่งข้อมูล
ขณะเรียกใช้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ ในระบบอินเทอร์เน็ต 
ในปี ค.ศ. 1993 สถาบัน NCSA (National Center for Supercomputing Application)
แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้พัฒนาโปรแกรมที่เรียกว่า เว็บบราวเซอร์ (web browser) ชื่อ
Mosaic ขึ้นมา ทำหน้าที่แปลคำสั่งและข้อมูลที่อยู่ในรูปของเอกสาร HTML
ให้แสดงที่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้อย่างสวยงาม น่าดู 
อย่างที่เราพบเห็นบนในปัจจุบัน โปรแกรม Mosaic ถูกแจกจ่าย
ออกไปให้ผู้ใช้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จืงได้กลายมาเป็น โปรแกรมยอดนิยมไปทันที 
หลังจากนั้นมา บริษัทซอฟแวร์ชั้นนำต่าง ๆ จึงเริ่มพัฒนาโปรแกรมเว็บบราวเซอร์อื่น ๆ
ออกจำหน่ายจ่ายแจก แก่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก 
ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกหาโปรแกรม เว็บบราวเซอร์ มาใช้งานได้หลายโปรแกรม 
นอกจากจะใช้บริการดูข้อมูลจากเวิลด์ไวด์เว็บ แล้ว หลายโปรแกรมยังมีความสามารถอื่น ๆ
ด้วย เช่น บริการสื่อสารด้วย E-mail การค้นข้อมูลแบบ Gopher การถ่ายโอนไฟล์ด้วย ftp
เป็นต้น โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ได้เปลี่ยนโฉมหน้า การใช้ บริการอินเทอร์เน็ตในแบบเก่า ๆ
ที่มีแต่ตัวอักษร ไปเป็นหน้าจอที่มีชีวิตชีวาด้วยสีสันและรูปภาพ 
และทำให้ผู้สามารถเข้าสู่บริการอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่าเดิมมาก


การค้นข้อมูลโดยใช้ search engine

อินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในยุคของสังคมข่าวสารในปัจจุบัน การสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์กำลังมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยมีขอบข่ายเชื่อมโยงเกือบทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ยังเป็นเครือข่ายของเครือข่าย เพราะอินเตอร์เน็ตประกอบด้วย 
เครือข่ายย่อยจำนวนมาก เชื่อมเข้าด้วยกัน อินเตอร์เน็ตจึงเป็นเสมือนขุมทองแห่งใหม่เพราะเป็นที่รวมของข้อมูลข่าวสารความรู้ต่าง ๆ ทำให้โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลแคบเข้ามาอีก ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตนั้นมีมากมาย ทั้งทางด้านการศึกษา การบันเทิง การติดต่อสื่อสารทางจดหมาย การซื้อของ หรือสนุกกับการมีเพื่อนใหม่บนอินเตอร์เน็ต บริการค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยใช้ search engine ก็เป็นอีกบริการหนึ่งบนอินเตอร์เน็ต (Internet) ที่เราสามารถค้นหาข้อมูลที่เราต้องการได้ 


การค้นหาข้อมูลมีกี่วิธี 
1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory 
2. การค้นหาในรูปแบบ Search Engine 

                                    การค้นหาข้อมูลโดยใช้ search engine

ถ้าเราต้องการค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต แล้วทราบที่อยู่ของเว็บไซต์นั้น ๆ เราสามารถพิมพ์ที่อยู่ของเว็บไซต์ลงในช่อง address ได้เลย แต่ถ้าไม่ทราบว่าข้อมูลนั้น ๆ มีอยู่ในเว็บไซต์ใด ก็ต้องค้นหาด้วย search engine มีขั้นตอน ดังนี้ 
1 .เข้าสู่โปรแกรมอินเตอร์เน็ต ในที่นี้เข้าโปรแกรม Internet Explorer 
2. เข้าเว็บให้บริการ search engine 
3. พิมพ์ข้อความที่ต้องการค้นหาใส่ลงในช่อง search แล้วคลิกที่ค้นหา หรือ search หรือกด enter 
4. โปรแกรมจะแสดงรายชื่อเว็บไซต์ของข้อมูลที่ค้นหา 
5. คลิกเม้าส์ไปที่ชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการ จะพบข้อมูลที่เราค้นหา
ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine

                คำตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มี หน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทำงานข้องมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่เชื่อมโยงถึง กันอยู่เต็มไปหมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็จะนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามา ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos Infoserch เป็นต้น การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้นมักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site แล้วมีใครบ้างหละที่อยากจะมานั้งค้นหาและอ่านดูที่จะเพจ ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจิงมีหลักในการค้น หา เพื่อให้ได้ข้อมูลใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งจะขอกล่าวในตอนหลัง